fbpx

หลาย ๆ คนเวลาจะเลือกซื้ออะไรสักอย่าง ก็มักจะใช้เวลาในการเสิร์ชหาและทำการเปรียบเทียบข้อมูลจนกว่าจะแน่ใจว่าเงินที่จะออกจากกระเป๋าของเราไปจะแลกกลับมาด้วยสินค้าที่มีคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าขนาดเล็ก ไปจนถึงสินค้าชิ้นใหญ่ ๆ และจำเป็นต้องนำสินค้าเหล่านี้ไปใช้เป็นรากฐานในการต่อยอดและสร้างสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างเช่นสินค้าประเภท “ไม้อัด” ที่ต้องใส่ใจในการเลือกซื้ออย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน

แต่จะดีกว่ามั้ย? หากเรามี “คู่มือ” ที่แค่เปิดอ่าน ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเราต้องมองหาอะไร ต้องเปรียบเทียบในข้อไหน และต้องเลือกซื้อไม้อัดจากแบรนด์อะไร หากคุณกำลังมองหาคู่มือที่ว่านั้นอยู่ แล้วกำลังเปิดอ่านบทความนี้ ก็เท่ากับว่าคุณมาถูกทางแล้ว !

เพราะวันนี้ AJ Plywood จะเปิด “คู่มือการเลือกซื้อไม้อัดคุณภาพดี” ให้เห็นกันแบบละเอียดสุด ๆ เรียกได้ว่าแค่มีคู่มือนี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าจะได้ไม้อัดคุณภาพระดับพรีเมียมมาไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน การเลือกซื้อไม้อัดจะต้องมองหาอะไร หรือควรรู้อะไรบ้าง คู่มือนี้มีคำตอบ!

1. ขนาดและความหนาของไม้อัด

ก่อนอื่นเลย เราจะต้องรู้ถึง “ขนาดและความหนาของไม้อัด” ที่เราต้องการก่อน โดยขนาดมาตรฐานของไม้อัดโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 4×8 ฟุต หรือกว้างประมาณ 1.2×2.4 ม. ซึ่งถือว่าเป็นขนาดมาตรฐานเดียวกันของไม้อัดทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นไม้อัดทั่วไป หรือไม้อัดฟิล์มดำ

ในส่วนของความหนาของไม้อัดนั้นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่เราควรรู้และกำหนดไปก่อนไปเดินเลือกซื้อ เพื่อประหยัดเวลาและลดโอกาสที่จะได้ไม้อัดที่ไม่สามารถนำไปใช้งานในจุดประสงค์ที่เราต้องการได้ เนื่องจากความหนาที่แตกต่างกันออกไปของไม้อัดแต่ละแผ่น แต่ละชนิด ก็จะมีจุดประสงค์ในการนำไปใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าหากผู้ซื้อต้องการไม้อัดที่มีขนาดเต็ม ก็จะต้องเลือกซื้อไม้อัดที่ได้รับมาตรฐาน มอก. ด้วยเช่นกัน

2. แบรนด์และแหล่งที่มาของไม้อัด

การจะเลือกซื้อสินค้าหลาย ๆ อย่าง เรายังต้องดูถึงแบรนด์ แหล่งที่มา และความน่าเชื่อถือของแบรนด์นั้น ๆ ก่อนจะทำการตัดสินใจจ่ายเงินซื้อ การเลือกซื้อไม้อัดก็เช่นกัน เราควรศึกษาข้อมูลของแบรนด์หรือผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ไปจนถึงแหล่งที่มาของไม้อัดนั้น ๆ ว่าผลิตที่ประเทศอะไร และทำการเปรียบเทียบกันหลาย ๆ แบรนด์ หลังจากศึกษาข้อมูลจนแน่ใจแล้ว จากนั้นเราจึงสามารถจ่ายเงินซื้อไม้อัดของแบรนด์นั้นได้อย่างสบายใจ

โดยแหล่งผลิตไม้อัดที่จัดจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยมักจะมาจาก 2 แหล่งผลิตหลัก ๆ คือ “ไม้อัดที่ผลิตในประเทศไทย” ที่จะเป็นไม้อัดที่ผลิตขึ้นในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นไม้ในประเทศ และ “ไม้อัดนำเข้าจากประเทศจีน” ที่เป็นการนำเข้าไม้อัดมาจากประเทศจีน 100% 

3. จุดประสงค์ในการนำไม้อัดไปใช้งาน

“เราจะนำไม้อัดนี้ไปทำอะไร?” คำถามนี้เป็นคำถามที่ทุก ๆ คนควรถามตัวเองเมื่อมีความคิดที่ว่าต้องการซื้อไม้อัดขึ้นมาในหัว และถ้าหากจะให้ดี ก็ควรจะลิสต์ออกมาเป็นข้อ ๆ เลย ว่า เราจะเอาไม้อัดไปทำอะไร? มีการใช้งานแบบไหน? และไม้อัดแบบไหนที่เราต้องการ? เมื่อตอบคำถามเหล่านี้ได้แล้ว ก็จะทำให้การหาซื้อไม้อัดของคุณง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณมีจุดประสงค์การใช้งานที่ชัดเจนนั่นเอง

4. คุณภาพของไม้อัด

ข้อนี้เป็นสิ่งที่ผู้ซื้อห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด เพราะไม่ว่าเราจะหาข้อมูลมาดี หรือเตรียมพร้อมมาแค่ไหน แต่การเลือกซื้อไม้อัดนั้นไม่ใช่แค่การที่คุณภาพของไม้ที่นำมาใช้ทำไม้อัดเท่านั้น แต่ควรดูให้ครบถึงคุณภาพในทุก ๆ ข้อ ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพของไม้อัด คุณภาพของแผ่นฟิล์มที่ใช้ในการเคลือบ ไปจนถึงคุณภาพของกาวที่ใช้ในการยึดตรึงแผ่นไม้แต่ละชั้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ไม้อัดคุณภาพดี คุณสมบัติครบ ทนทานต่อทุกจุดประสงค์การใช้งานกลับบ้านไป

และจากทั้งหมด 4 ข้อที่ระบุมาในคู่มือฉบับนี้ ก็ต้องขอบอกเลยว่า ไม้อัดจาก AJ Plywood นั้นเหมาะสมเป็นอย่างมากที่จะเป็นตัวเลือกแรกของผู้ที่กำลังมองหาไม้อัด เพราะเราเป็นบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายไม้อัดครบวงจรจาก “ตราจระเข้” มีมาตรฐาน มอก. แบรนด์และแหล่งที่มาเชื่อถือได้ คุณภาพของไม้อัดของเราอยู่ในระดับท็อป และด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี พร้อมคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้สามารถวางใจได้เลยว่า แค่มาหาเรา ก็จบ ครบทุกปัญหาเรื่องไม้อัด!

ทุกวันนี้ เทรนด์ของเฟอร์นิเจอร์และการผลิตเฟอร์นิเจอร์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่หนึ่งสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้นั้นก็คือ การใช้ไม้จริงมาทำเฟอร์นิเจอร์น้อยลง และหันมาใช้ไม้อัดที่ทนความชื้นเพิ่มมากขึ้น โดยไม้อัดที่มีคุณสมบัติทนความชื้นที่โด่ดเด่นก็มีด้วยกันอยู่ 2 ตัวนั่นก็คือ ไม้ MDF และ ไม้ HMR

แต่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ฉันใด ไม้อัดทนความชื้นสองชนิดก็ไม่สามารถอยู่ถ้ำเดียวกันได้ฉันนั้น วันนี้ทุกคนเลยจะมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งใน “ศึกเทียบความเหมือนและต่างระหว่างไม้ MDF และไม้ HMR” โดยเราจะเทียบกันให้เห็นชัด ๆ แบบหมัดต่อหมัด ข้อดีต่อข้อดี ข้อเสียต่อข้อเสีย

ให้มันรู้กันไปเลยว่า จะมาเป็นไม้อัดทนความชื้นเหมือนกันไม่ได้ !

ไม้ MDF และไม้ HMR คืออะไร?

ก่อนจะไปเทียบถึงคุณสมบัติ เราก็คงจะต้องมาทำความรู้จักกับไม้ทั้งสองชนิดนี้กันก่อน ว่าเป็นไม้อะไร ผลิตขึ้นมาจากวัสดุไหน และมีคุณสมบัติคร่าว ๆ อย่างไรกันบ้าง

ไม้ MDF หรือ Medium Density Fiber Board เป็นแผ่นใยไม้อัดที่มีความหนาแน่นอยู่ในระดับปานกลาง โดยอาจถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ยางพารา หรือไม้ชนิดอื่น ๆ ตามความเหมาะสม โดยขั้นตอนการผลิตจะเริ่มจากการนำเศษไม้หรือชิ้นไม้ที่ถูกบดละเอียดมาผสมเข้ากับวัสดุประสาน และนำไปอัดเป็นแผ่นด้วยเครื่องอัดแรงดันสูงโดยใช้ความร้อน (Hot Press) หลังจากนั้นจึงจะได้แผ่นไม้ที่มีผิวสัมผัสเรียบเนียน เนื้อไม้แน่น และปิดท้ายด้วยการปิดผิวไม้ด้วยแผ่นลามิเนต หรือแผ่นไม้วีเนียร์

ส่วนไม้ HMR หรือ High Moisture Resistance ก็จะมีกรรมวิธีการผลิตเช่นเดียวกันกับไม้ MDF เพียงแต่แผ่นไม้จะถูกอัดประสานด้วยกาวเมลานีนชนิดพิเศษที่สามารถป้องกันการบวมของไม้เมื่อไม้ต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และเนื้อของไม้ HMR จะมีสีเขียวซึ่งเป็นสีที่เพิ่มเข้าไปในระหว่างขั้นตอนการผลิต เพื่อให้มีความแตกต่างจากไม้ MDF นั่นเอง

เอาล่ะ เมื่อได้รู้จักผู้เข้าชิงกันแบบพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะได้นำไม้อัดทั้ง 2 ชนิดมาดวลกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ด้วยความเหมือนและความต่างของไม้อัดแต่ละชนิดกันบ้างแล้วล่ะ !

คุณสมบัติของไม้ MDF และไม้ HMR

ในพาร์ทนี้ เราจะนำคุณสมบัติของทั้งไม้ MDF และไม้ HMR มาเปรียบเทียบกันให้เห็นกันชัด ๆ เลยว่า ภายใต้หัวข้อคุณสมบัติเดียวกันนี้ ไม้อัดชนิดไหนจะมีความเหนือกว่ากัน !

1. ลักษณะทางกายภาพ

ไม้ MDF

  • มีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อไม้เนียนละเอียด ผิวเรียบ

ไม้ HMR

  • มีสีเขียว เนื้อไม้เนียนละเอียด ผิวเรียบ สามารถรับน้ำหนักได้ดีกว่าไม้ MDF

2. ค่าความหนาแน่นต่อลูกบาศก์เมตร

ไม้ MDF

  • 700-720 kg/m3

ไม้ HMR

  • 800-1,040 kg/m3

3. การทนต่อความชื้น

ไม้ MDF

  • สามารถทนความชื้นได้ในระดับพอใช้

ไม้ HMR

  • สามารถทนความชื้นได้ดี แต่ไม่ควรนำแผ่นไม้ไปแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน

4. ลักษณะการใช้งาน

ไม้ MDF

  • เหมาะสำหรับการนำไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องโดนความชื้น
  • สามารถเจาะหรือฉลุลายเป็นรูปแบบสามมิติ หรือภาพนูนต่ำได้

ไม้ HMR

  • เหมาะสำหรับการนำไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินทั่วไป และสามารถนำไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับบริเวณที่ต้องโดนความชื้นอย่าง ตู้ใต้อ่างล้างหน้า เคาน์เตอร์ล้างจาน หรือชั้นวางของในห้องน้ำ

5. ข้อจำกัด

ไม้ MDF

  • ไม่กันปลวก
  • แผ่นไม้จะบวมเมื่อถูกนำไปแช่น้ำนาน 30 นาที – 1 ชั่วโมงขึ้นไป

ไม้ HMR

  • ไม่กันปลวก

6. ขนาดและราคา

ไม้ MDF

  • ขนาดมาตรฐานอยู่ที่ 1.20 x 2.40 ตร.ม.
  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่แผ่นละ 75-80 บาท

ไม้ HMR

  • ขนาดมาตรฐานอยู่ที่ 1.20 x 2.40 ตร.ม.
  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่แผ่นละ 120-150 บาท

หลังจากที่ได้เทียบความเหมือนและแตกต่างกันไปในทุกหัวข้อแล้ว ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ไม้อัดทั้ง 2 ชนิดนี้มีข้อแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกใช้ไม้อัดควรพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญอย่าง “จุดประสงค์ของการใช้งาน” ที่จะส่งผลต่อการเลือกชนิดของไม้อัด หลังจากนั้นจึงจะสามารถพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้อย่างรอบคอบ
แต่หากคุณยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี ก็สามารถแวะมาที่ AJ Plywood อาณาจักรแห่งไม้อัดได้เลย ! เพราะเรามีไม้อัดทุกชนิดที่ครอบคลุมทุกจุดประสงค์การใช้งาน มีผู้ให้คำปรึกษาที่มีความชำนาญการ ราคาย่อมเยา และยังใช้ไม้อัดคุณภาพดีจาก “ตราจระเข้” อีกด้วย ไม่ว่าจะนึกถึงไม้อัดประเภทไหน ก็อย่าลืมนึกถึง AJ Plywood นะ !

“สไตล์มินิมอล” คำที่ไม่ว่าคุณจะเป็นสายแต่งบ้านหรือไม่ ก็ต้องได้ยินและได้เห็นกันบ่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากันอย่างแน่นอน และเมื่อพูดถึงสไตล์มินิมอล ทุก ๆ คนก็คงจะนึกถึงภาพของเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูเรียบ ๆ สบายตา แต่สามารถเพิ่มจุดเด่นและเอกลักษณ์ให้กับบ้านได้อย่างพอดี๊ พอดี ยิ่งถ้าใครเป็นสายที่ชอบให้บ้านดูสะอาดตาอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ตัดกับสีเรียบ ๆ อย่างเช่นสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน บอกเลยว่าลงตัวสุด ๆ

แต่กว่าจะได้ออกมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สักหนึ่งอย่าง รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วการเลือกไม้มาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์นั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลต่อลายไม้ ความสวยงาม ความแข็งแรง และความคุ้มค่าที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อเลยล่ะ โดยไม้ที่ได้รับความนิยมในการนำมาทำเฟอร์นิเจอร์นั้นก็มักจะเป็น “ไม้อัด” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไม้อัดฟิล์มดำ” ที่มีคุณสมบัติแบบ “ถูกทุกข้อ” เหมาะที่จะเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์แบบ 100%

วันนี้ เราเลยจะชวนทุกคนไปเปิดทุกคุณสมบัติของ “ไม้อัดฟิล์มดำ” กัน !

ไม้อัดฟิล์มดำคืออะไร ?

ไม้อัดฟิล์มดำ คือ ไม้อัดที่ผ่านการอัดโดยการอัดสลับชั้นระหว่างแผ่นไม้ที่อัดด้วยกาว และชั้นที่อัดด้วยกาวเคลือบฟิล์มดำกันน้ำ ปิดขอบ และพ่นสีกันน้ำบริเวณขอบ ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำมีคุณสมบัติในการกันน้ำ มีความแข็งแรง ทนทาน ทนต่อสารเคมี มีความยึดเกาะที่ดีกว่า แตกต่างจากไม้อัดยางธรรมดา ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการนำไปใช้กับงานก่อสร้าง งานฐานราก งานทำพื้น ตีแบบหล่อเสา และนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์

หลังจากที่ได้รู้จักกันไปแล้วว่า ไม้อัดฟิล์มดำคืออะไร ในหัวข้อถัดไป เราก็จะมาเจาะลึกถึงเกรดของไส้ไม้อัดฟิล์มดำกันต่อเลย

เกรดของไส้ไม้อัดฟิล์มดำ

จุดเด่นของไม้อัดฟิล์มดำเลยก็คือ “ไส้ไม้” ที่ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำถูกแบ่งออกเป็นเกรด ๆ โดยชนิดของไส้ไม้อัดฟิล์มดำสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ “ไส้ต่อ” และ “ไส้เต็ม”

ไส้ต่อ (Veneer Core) คือ ไม้ที่ใช้ในการสร้างแผ่นไม้อัดฟิล์มดำที่ถูกนำมาเรียงต่อกันเพื่อสร้างเป็นแผ่นไม้อัดฟิล์ม โดยไส้ต่อมักจะมีความแข็งแรงและความสมดุลที่ดี ส่งผลให้ได้ไม้อัดฟิล์มดำที่มีคุณภาพสูง

และอีกชนิดคือ ไส้เต็ม (Full Core) หรือ แกรนูเลต (granulette) ก็คือลวดไม้หรือชิ้นไม้ขนาดเล็กที่ถูกบีบอัดและนำมาก่อเป็นแผ่นใหญ่ ทำให้ไส้เต็มมักมีความแข็งแรงมากกว่าไส้ต่อ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสามารถในการสมดุลน้อยกว่าไส้ต่อ

การจะเลือกไม้อัดฟิล์มดำด้วยชนิดของไส้ไม้ต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาจุดประสงค์ในการใช้งาน ให้เหมาะกับคุณสมบัติของไม้อัดฟิล์มดำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไส้ต่อมักมีลวดลายเรียบร้อยและสมดุลมากกว่าไส้เต็ม ในขณะที่ไส้เต็มมักมีความแข็งแรงมากกว่าแต่อาจมีความไม่สมดุลในบางส่วน ดังนั้นควรพิจารณาจากคุณสมบัติและความต้องการใช้ในแต่ละงาน เพื่อให้เลือกได้อย่างเหมาะสมที่สุด

คุณสมบัติของไม้อัดฟิล์มดำ

ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกใช้ไม้อัดสักหนึ่งชนิดมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องมีอายุการใช้งานยาวนาน และทนทานต่อทุกสถานการณ์ ถึงแม้ผู้คนหลายคนมักจะเชื่อว่า “ของแพง ย่อมต้องคุณภาพดีกว่าของถูก” แต่ว่าความเชื่อนี้จะต้องหมดไป เมื่อได้รู้จักกับ “ไม้อัดฟิล์มดำ” ไม้อัดที่ทั้งราคาถูก แต่คุณภาพคุ้มค่าเกินราคาไปมาก

มาดูต่อเลยว่าคุณสมบัติแต่ละอย่างของไม้อัดฟิล์มดำ ทั้ง 4 ข้อ ดังนี้

1. สามารถกันน้ำได้ดี

ไม้อัดฟิล์มดำในทุกเกรด จะถูกนำไปเคลือบฟิล์มดำทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวไม้ ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำมีจุดเด่นในเรื่องของคุณสมบัติ “กันน้ำ” และนอกจากจะกันน้ำแล้ว ไม้อัดฟิล์มดำก็ยังทนต่อแดด ฝน กันสารเคมีและปูนทุกชนิดได้ดีอีกด้วย 

2. แข็งแรง ทนทาน ยากต่อการเกิดรอยขีดข่วน

ใครที่ที่บ้านมีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงแสนซน จะต้องรักคุณสมบัติข้อนี้ของไม้อัดฟิล์มดำอย่างแน่นอน เพราะไม้อัดฟิล์มดำทุกชิ้นจะถูกเลือกให้ลายเสี้ยนไม้หันไปในทิศทางเดียวกัน และด้วยความที่ไม้อัดฟิล์มดำมีการติดฟิล์มทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำมีความทนทานต่อแรงบิด กด เฉือน และไม้ก็ยังเกิดรอยขีดข่วนได้ยาก เหมาะกับบ้านที่มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงสุด ๆ ไปเลยล่ะ

3. ไม่มีสารพิษ

ไม้อัดฟิล์มดำทุกเกรดจะถูกเคลือบด้วยฟิล์ม Phenolic Resin ที่ถูกสังเคราะห์และสร้างขึ้นมาจากโพลิเมอร์สังเคราะห์จากธรรมชาติ แต่ถูกยึดตรึงด้วยกาว Melamine หรือ Phenol Formaldehyde ที่ถูกทำขึ้นมาจากพลาสติก ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำจึงไม่มีแร่ใยหิน ไม่มีสารตะกั่วและปรอท ซึ่งเป็นสารที่อันตรายต่อร่างกายมนุษย์นั่นเอง ต่อให้ตั้งอยู่ในบ้านหรือสูดดมเข้าไปมากเท่าไร ก็ไม่มีปัญหา!

4. มีหลายขนาด น้ำหนักเบา ราคาถูก

ไม้อัดฟิล์มดำมักจะมีขนาดตั้งแต่ 10 มม. ไปจนถึง 25 มม. โดยแต่ละความหนาจะมีขนาดอยู่ที่ 1.22 x 2.44 เมตร มีน้ำหนักเพียง 22 – 33.5 กิโลกรัม ทำให้สามารถจัดส่งไม้อัดฟิล์มดำไปถึงหน้าบ้านหรือโรงงานได้ง่าย ๆ และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่เพียง 500 – 600 บาทต่อแผ่น นอกจากนี้ ผู้ซื้อก็ยังสามารถเลือกชนิดไม้อัดที่เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ตนต้องการได้อีกด้วย

เอาหละ ! เมื่อเข้าใจทุกส่วนเกี่ยวกับไม้อัดฟิล์มดำแล้ว เพียงเท่านี้ก็คงจะพอรู้กันแล้วว่า ทำไมไม้อัดฟิล์มดำถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะด้วยความแข็งแรง ทนทาน ราคาถูก มีหลายตัวเลือกให้ได้เลือกสรรกันอย่างจุใจ ก็ล้วนแต่เป็นคุณสมบัติที่ทำให้ไม้อัดฟิล์มดำเป็นไม้อัดชั้นเลิศที่ผู้คนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ และยิ่งพรีเมียมเข้าไปอีก เมื่อไม้อัดฟิล์มดำนั้นมาจาก AJ Plywood บริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายไม้อัดตราจระเข้เบอร์หนึ่งของประเทศ
สำหรับใครที่มีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกซื้อไม้อัดฟิล์มดำ ก็สามารถติดต่อเราเข้ามาทางเพจ Facebook หรือแอด Line มาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย โดยเรามีช่างผู้ชำนาญการคอยให้คำปรึกษาอยู่เสมอ

การที่ผู้บริโภคจะมองหาแหล่งซื้อสินค้าสักแหล่งหนึ่ง เราย่อมมองหาแหล่งซื้อที่มีครบ จบทุกอย่างได้ในร้านเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินหาซื้อหรือมองหาแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ให้เสียเวลา เพราะความต้องการของผู้บริโภค ก็คือความสะดวก รวดเร็ว แต่ยังไว้ใจได้ว่าจะได้สินค้าคุณภาพดีติดมือกลับบ้านไป

โดยเฉพาะสินค้าที่มีขนาดใหญ่อย่างเช่น “ไม้อัด” ที่มีหลายแบบ หลายขนาด จะให้เสียเวลาไปหลายที่เพื่อให้ได้ไม้อัดหลายชนิดก็คงจะใช่เรื่อง แต่เมื่อมาที่ AJ Plywood ก็สามารถจบทุกปัญหาและตอบทุกโจทย์ความต้องการในเรื่องไม้อัดได้ในที่เดียว ไม่ว่าคุณจะต้องการไม้อัดประเภทไหน เกรดอะไร ขนาดเท่าไร เราก็มีให้คุณพร้อมสรรพทุกการใช้งาน 

วันนี้ เราเลยจะพาทุกคนไปท่องอาณาจักรไม้อัด “AJ Plywood” กัน ! จะได้รู้กันไปเลยว่า ทำไมเราถึงได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งไม้อัด และเป็นบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายไม้อัดคุณภาพดีตราจระเข้ อันดับต้น ๆ ของประเทศ

AJ Plywood มีไม้อัดกี่ประเภท ?

ที่อาณาจักร AJ Plywood เรามีไม้อัดด้วยกันทั้งหมด 7 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ ไม้อัดยาง, ไม้ยางพารา, ไม้อัด MDF, ไม้อัด HMR, ไม้ปาติเกิลบอร์ดและไม้อัด OSB, ไม้อัดก่อสร้าง (Construction Plywood), ไม้ฟิล์ม และ ไม้โครง

ไม้อัดแต่ละแบบ มีลักษณะเป็นอย่างไร และมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เราไปดูพร้อม ๆ กันเลย ! 

1. ไม้อัดยาง

เรามีไม้อัดยางด้วยกันทั้งหมด 4 แบบ ดังนี้

  • ไม้อัดยางทั่วไป
  • ไม้อัดเฟอร์นิเจอร์
  • ไม้อัดสัก
  • ไม้โค้ง

เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกจุดประสงค์การใช้งาน ไม่ว่าคุณจะอยากได้ไม้อัดยางไปใช้สำหรับการตกแต่งภายใน ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำฝ้าเพดาน หรือใช้ในงานแพ็คสินค้า งานปูพื้น หรืองานกั้นผนัง ก็สามารถแวะมาที่เราเพียงที่เดียวได้เลย

2. ไม้ยางพารา

ไม้ยางพาราเป็นที่นิยมมากในการนำไปใช้ในการสร้างอาคารหรือบ้านไม้ โดยส่วนมากจะต้องเป็นอาคารที่จำเป็นต้องมีส่วนของโครงสร้างที่ต้องรับแรงอัดปริมาณมาก เช่น เสา ฝา เสาเข็ม เนื่องจากไม้ยางพาราเป็นไม้ที่มีความคงทนในการใช้งาน และยังคงทนต่อเชื้อราและแมลงต่าง ๆ รวมถึงยังมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และไม้มีความสวยเป็นธรรมชาติอีกด้วย

3. ไม้อัด MDF & HMR

ไม้อัด MDF คือ แผ่นใยไม้อัดที่ผลิตขึ้นจากการนำเศษและใยไม้มาสับและบดให้ละเอียด นำมาผนวกเป็นเนื้อเดียวกันด้วยการอัดความดันสูงและการใช้กาว ปิดผิวหน้าไม้อัดด้วยไม้วีเนียร์ จนมีลักษณะคล้ายกับไม้อัด แต่ส่วนของโครงสร้างภายในจะแตกต่างออกไปแล้วแต่ชนิดของเศษและใยไม้

ในส่วนของ ไม้อัด HMR คือ แผ่นใยไม้อัดทนความชื้น หรือก็คือการนำแผ่นไม้ MDF มาผสมสารทนความชื้นนั่นเอง ทำให้ไม้อัด HMR มีคุณสมบัติคล้ายกับไม้อัด MDF แต่มีคุณสมบัติในการทนความร้อนและความชื้นเพิ่มมากขึ้น

4. ไม้ปาติเกิลบอร์ด (Particle Board) และไม้อัด OSB

ไม้ปาติเกิล คือ แผ่นไม้ที่ผลิตจากการนำเศษไม้ยางพาราขนาดเล็กหรือเศษไม้บดมาอัดบดเป็นแผ่นและผสมด้วยกาว และนำไปผ่านกระบวนการทางเคมีและถูกปิดทับกระดาษฟอยล์ กระดาษพิมพ์ลายไม้ หรือแผ่นเมลามีน มีราคาถูก นิยมนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์

และในขณะเดียวกัน ไม้อัด OSB ก็คือแผ่นไม้ที่ผลิตจากการนำชิ้นไม้ขนาดเล็กมาอัดรวมกัน เหมือนกันกับไม้ปาติเกิล เพียงแต่ไม้อัด OSB มักจะเป็นที่นิยมในการใช้ในงานก่อสร้าง งานบรรจุภัณฑ์ และงานตกแต่งภายใน

5. ไม้อัดก่อสร้าง (Construction Plywood)

ไม้อัดก่อสร้าง หรือ ไม้แบบก่อสร้าง คือ โครงสร้างชั่วคราวที่ทำจากไม้ ใช้สำหรับติดตั้งแม่แบบในงานหล่อคอนกรีต คอนกรีตเสริม รวมถึงเป็นโครงสร้างต่าง ๆ ของอาคาร เช่น เสา คาน พื้นถนน มีหน้าที่รับน้ำหนักของคอนกรีต และสร้างขอบเขตในการเทให้คอนกรีตออกมาในรูปทรงที่ต้องการ

6. ไม้ฟิล์ม

เป็นไม้อัดสลับชั้นที่อัดด้วยกาวกันน้ำ และนำมาอัดทับด้วยแผ่นฟิล์มอีกหนึ่งชั้น ทำให้ไม้อัดฟิล์มมีความมัน กันน้ำ มีความยึดเกาะระหว่างชั้นของไม้ดี ทนทานต่อสารเคมีและการขูดขีด สามารถนำกลับมาใช้งานได้หลายครั้งเหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นไม้แบบในงานหล่อคอนกรีต

7. ไม้โครง

เป็นประเภทไม้ที่มักจะถูกนำไปใช้ในการทำเป็นโครงสร้างหลักของเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งผนัง ไปจนถึงการทำประตูหรือหน้าต่าง โดยจะนำไม้โครงไปใช้เป็นโครงสร้างเพื่อเสริมให้มีความแข็งแรงมากขึ้น หลังจากนั้นสามารถนำวัสดุอื่น ๆ มาปิดทับอีกครั้งได้

เป็นยังไงกันบ้าง? การท่องอาณาจักร AJ Plywood น่าตื่นตาตื่นใจใช่ไหมล่ะ ? และนอกจากชนิดและคุณสมบัติของไม้อัดทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ก็ต้องขอบอกเลยว่า สินค้าจาก AJ Plywood นั้นมีแต่สินค้าระดับเกรด A ที่ถ้าซื้อไป ลูกค้าไม่มีทางผิดหวังกับคุณภาพไม้อัดของเราอย่างแน่นอน